วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

ไอโฟน5



ไอโฟน5

iphone 5 
 
เทียบ iPhone 5 (ซ้าย) และ iPhone 4S (ขวา)
 
ปุ่มด้านข้าง
 
 
Dock connector เล็กลงเหลือ 9-pin ส่วนหูฟังย้ายมาด้านล่าง
 
 
ด้านบนไม่มีช่องหูฟัง และไมโครโฟนแล้ว
 
 
ช่องซิมการ์ด
การออกแบบ
     สิ่งสำคัญ ที่ทำให้ ไอโฟน 5 (iPhone 5) มีความน่าสนใจไม่น้อยกว่าซีพียู ก็คือ การออกแบบตัวเครื่องนั่นเองครับ เพราะเหตุใด การออกแบบ ไอโฟน 5 (iPhone 5) จึงเป็นที่น่าจับตามองนัก เป็นเพราะว่า การเปิดตัว ไอโฟน 4S (iPhone 4S) ในครั้งก่อน กลับมีบอดี้ที่เหมือนกับ iPhone 4 นั่นเองครับ ฉะนั้น การที่ ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะมีทั้งขนาด และการออกแบบที่เหมือนกับ ไอโฟน 4S (iPhone 4S) คงไม่ใช่สิ่งที่ Apple ควรจะทำเท่าไหร่ จึงได้รับการฟันธงว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะต้องมีการออกแบบที่แตกต่างไปจาก ไอโฟน 4S (iPhone 4S) อย่างแน่นอน
 
     แต่คำถามที่ตามมาก็คือว่า แล้ว ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะออกแบบให้แตกต่างจาก ไอโฟน 4S (iPhone 4S) ในส่วนใดได้บ้าง คำตอบแรกก็คือ ขนาดหน้าจอครับ โดยการรายงานข่าวหลากสำนักที่ผ่านมา ต่างเชื่อว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น จากเดิม 3.5 นิ้ว เป็น 4 นิ้ว ซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะมองว่า ยังเล็กไปถ้าหากเทียบกับขนาดหน้าจอของสมาร์ทโฟนที่วางจำหน่ายในท้องตลาดในปัจจุบัน แต่คาดว่า Apple คงจะวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้วว่า หน้าจอขนาด 4 นิ้ว เหมาะสมกับ ไอโฟน 5 (iPhone 5) มากที่สุดนั่นเองครับ
นอกจากนี้ ไอโฟน 5 (iPhone 5) ยังใช้เทคโนโลยีแบบ in-cell ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น มาใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตหน้าจอ ไอโฟน 5 (iPhone 5) โดยปกติแล้ว สมาร์ทโฟนทั่วๆ ไป จะใช้เทคโนโลยีแบบ on-cell ครับ แต่เทคโนโลยีแบบ in-cell นี้ จะช่วยทำให้หน้าจอ ไอโฟน 5 (iPhone 5) บางลงได้มาก เนื่องจากตัว touch sensors นั้น มาอยู่รวมกับ color filters แทน ซึ่งถ้าหากเป็นสมาร์ทโฟนปกติ ตัว touch sensors จะอยู่ด้านบนครับ ฉะนั้น เทคโนโลยีแบบ in-cell จะช่วยทำให้ Apple ลดความบางของหน้าจอลงได้ แถมมีน้ำหนักเบา โดยที่ไม่จำเป็นต้องลดสเปคในส่วนอื่นๆ
 
     จากภาพ mock up ไอโฟน 5 (iPhone 5) ที่เห็นกันโดยทั่วไปจะพบว่า กรอบด้านหน้านั้น ยังคงคล้ายกับ ไอโฟน 4S (iPhone 4S) แต่กรอบด้านหลัง จะมีการออกแบบที่เปลี่ยนไป โดยจะมีความแตกต่างกันอยู่ 2 จุดคือ ตรงกลางเครื่อง จะเป็นอะลูมิเนียมขัด หรือไม่ก็ Liquid metal ส่วนด้านบนและด้านล่าง คาดว่า น่าจะเป็นพลาสติก หรือไม่ก็กระจก ซึ่งเป็นดีไซน์แบบ Two-tone นั่นเอง ก็ดูเท่ห์ไปอีกแบบครับ

ระบบประมวลผล
 
     สำหรับซีพียู หรือระบบประมวลผลบน ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น ว่ากันว่า จะมีการเปลี่ยนมาใช้ซีพียูแบบ Quad-core Processor ชิปเซ็ท Apple A6 ครับ สังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงบน ไอโฟน 4S (iPhone 4S) ที่เปลี่ยนชิปเซ็ทจากเดิม Apple A4 มาเป็น Apple A5 และ The new iPad (iPad 3) ที่เปลี่ยนจาก Apple A4 มาเป็น Apple A5X ฉะนั้น มีความเป็นไปได้ที่ ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะเปลี่ยนมาใช้ Apple A6 ซึ่งเป็นซีพียูแบบ Quad-core Processor ได้เช่นกัน

เครือข่าย 4G LTE
 
     หลังจากที่มีปัญหาเรื่องเครือข่าย 4G บน The new iPad (iPad 3) ในประเทศออสเตรเลีย ที่ผู้ใช้งานไม่สามารถเลือกใช้งานเครือข่าย 4G ได้ตามโฆษณา จนกลายเป็นคดีฟ้องร้องและเสียค่าปรับกันไป จึงมีความเป็นไปได้ที่ Apple อาจจะ hold เรื่องการรองรับเครือข่าย 4G LTE บน ไอโฟน 5 (iPhone 5) เอาไว้ก่อน หรือไม่ก็อาจจะมี แต่เป็นการระบุเป็นประเทศๆ ไปว่า ประเทศใดสามารถใช้งานเครือข่าย 4G LTE บน ไอโฟน 5 (iPhone 5) ได้บ้าง

Dock connector แบบใหม่

      กลายเป็นเรื่องที่ฮือฮาอย่างมาก เมื่อมีข่าวว่า Apple จะเปลี่ยนมาใช้ Dock connector แบบใหม่จากเดิม 30-pin เหลือ 8-pin เพื่อเป็นการลดพื้นที่ และเป็นส่วนช่วยทำให้ตัวเครื่องบางลงได้ ซึ่งนอกจาก Dock connector จะมีการปรับขนาดลงแล้ว ในส่วนของช่องสำหรับหูฟัง ได้ย้ายจากด้านบน มาไว้ด้านล่างตัวเครื่องด้วย
แน่นอนว่า การเปลี่ยน Dock connector เป็นแบบใหม่นี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ คือ ผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมครับ เพราะต้องผลิตใหม่ทั้งหมด แต่ก็ไม่แน่ว่า Apple เอง น่าจะเปิดตัวหัวแปลง Dock ด้วยเช่นกัน เพราะคงไม่ดีแน่ถ้าหากต้องให้ผู้บริโภค เปลี่ยนอุปกรณ์เสริมแบบยกเซ็ท

กล้อง
 
     สำหรับบทสรุปของความละเอียดเซนเซอร์บน ไอโฟน 5 (iPhone 5) ยังไม่มีแหล่งข่าวใดยืนยันได้ว่า Apple จะมีการปรับความละเอียดไปจากเดิมหรือไม่ แต่ถ้าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ บนกล้อง ไอโฟน 5 (iPhone 5) ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพดีขึ้นกว่าเดิมเสียมากกว่า ส่วนความละเอียดนั้น น่าจะอยู่ระหว่าง 8-10 ล้านพิกเซลครับ

ฟีเจอร์อื่นๆ 
     ในส่วนของฟีเจอร์ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม ก็คือ ซิมการ์ดครับ คาดกันว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะมีการเปลี่ยนจาก microSIM มาใช้ nanoSIM ซึ่งมีขนาดที่เล็กกว่าเดิมมาก และช่วยประหยัดพื้นที่ของฮาร์ดแวร์ภายในด้วย ส่วนแบตเตอรี่นั้น จะมีการใช้แบตเตอรี่แบบใหม่ เพื่อรองรับทั้งซีพียูแบบ Quad-core Processor รวมไปถึงการรองรับเครือข่าย 4G LTE ด้วยเช่นกัน (ถ้ามี)

ราคา
 
     สำหรับราคา ไอโฟน 5 (iPhone 5) ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่า จะถูกลง หรือแพงขึ้นกว่า ไอโฟน 4S (iPhone 4S) หรือไม่ คงต้องรอการเปิดตัวก่อนจึงจะสามารถสรุปได้ครับ แต่คาดว่า Apple คงจะเปิดราคา ไอโฟน 5 (iPhone 5) เท่ากับ ไอโฟน 4S (iPhone 4S) ตอนเปิดตัว ในขณะที่ราคาจำหน่าย ไอโฟน 5 (iPhone 5) ในไทย อาจจะมีการปรับเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ที่รับผิดชอบในด้านนี้ด้วยนะครับ
ยังคงยืนยันเหมือนเช่นเคยครับว่า สเปคที่ระบุไว้ข้างต้นนี้ ยังเป็นสเปคแบบ "ไม่เป็นทางการ" ที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจาก Apple จนกว่าจะถึงวันเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5) ซึ่งในวันนั้น อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกมาก มีโอกาสถูกผิดได้ 50-50 หรืออาจจะมีเซอร์ไพร์สเล็กๆ จาก Apple ก็เป็นได้ครับ วันที่ 12 กันยายนนี้ ได้ทราบกันอย่างแน่นอนครับว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5

คอนเซปท์ ไอโฟน 5 (iPhone 5) ในสไตล์ Liquid Metal
 
     ในขณะนี้ เรายังคงไม่สามารถสรุปได้ว่า บอดี้ของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น จะใช้วัสดุประเภทใด แต่ในระยะหลังนี้ ข่าวลือเกี่ยวกับวัสดุประเภท Liquid Metal มาแรงมากครับ ทำให้เชื่อกันว่า บอดี้ ไอโฟน 5 (iPhone 5) น่าจะมี Liquid Metal เป็นส่วนประกอบ ไปดูกันว่า ถ้าหากบอดี้ของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น ทำมาจาก Liquid Metal จริง จะมีลักษณะ และรูปร่างเป็นอย่างไร

 
รูป mock up ที่คาดว่า น่าจะเป็น ไอโฟน 5 (iPhone 5)

 
 
     จากรูปด้านบนนั้น คือรูปเสมือนจริงของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) ที่ต่างคาดกันว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) น่าจะถูกออกแบบให้มีลักษณะนี้ นั่นคือ ความกว้างของตัวเครื่องเท่าเดิม แต่ตัวเครื่องยาวขึ้น เนื่องจากมีการปรับเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ นอกจากนี้ Dock connector ยังมีขนาดเล็กลง เหลือ 19-pin ย้ายช่องเสียบหูฟังมาไว้ด้านล่าง และเพิ่มลำโพงขนาดเล็ก 2 ตัว ตัวเครื่องมีโลหะเป็นส่วนประกอบ และเป็นแบบ Two-tone ครับ

ภาพพิมพ์เขียว ไอโฟน 5 (iPhone 5) ยืนยันหน้าจอใหญ่ขึ้นจริง
 
     หลังจากปรากฎภาพ กรอบด้านหน้าและหลังของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) (ข่าวเก่า) กับส่วนประกอบต่างๆ ที่ดูเหมือนว่า ไอโฟน 5(iPhone 5) น่าจะมีการออกแบบที่แตกต่างไปจาก iPhone รุ่นปัจจุบัน ล่าสุด เว็บไซต์ Cydia blog ได้เผยภาพพิมพ์เขียว ซึ่งเป็นแบบร่าง ไอโฟน 5 (iPhone 5) ที่ระบุว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น มีขนาดหน้าจอที่กว้างขึ้น และที่สำคัญ รายละเอียดในแบบพิมพ์เขียวนั้น สอดคล้องกับรูปหลุดกรอบด้านหน้าและหลัง ไอโฟน 5 (iPhone 5) ครับ

     ข้อมูล ไอโฟน 5 (iPhone 5) ในแบบพิมพ์เขียวนั้น ระบุความสูงของตัวเครื่อง ไอโฟน 5 (iPhone 5) ไว้อย่างชัดเจนครับ โดยมีขนาดความสูงอยู่ที่ 122 มิลลิเมตร ยาวกว่า iPhone 4S ประมาณ 7 มิลลิเมตร ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณแล้ว พบว่า หน้าจอ ไอโฟน 5(iPhone 5) น่าจะมีขนาดกว้างอยู่ที่ 4.08 นิ้ว นอกจากนี้ ตำแหน่งของกล้องหน้า ยังย้ายไปอยู่ด้านบนของลำโพงสนทนา ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับภาพหลุดอีก

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

iPhone 4s



iPhone 4S
         iPhone 4S เป็น iPhone รุ่นที่ 5 นับตั้งแต่แอปเปิ้ลออกรุ่นแรกมาเมื่อปี 2007 ครั้งนี้แอปเปิ้ลยังไม่มีอะไรก้าวกระโดดในรูปเรื่องร่างหน้าตาภายนอก ส่วนข้างในในส่วนของซีพียูไม่ต้องเดาก็พอทราบกันอยู่แล้วว่าใช้ซีพียู A5 เหมือนที่อยู่ใน iPad 2 ส่วนอื่น ๆ ที่เป็นส่วนที่ดีขึ้นลองไล่อ่านกันดูนะครับว่าดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน

รูปร่างเดิม



เครื่องสีดำ (บน) : iPhone 4S / เครื่องสีขาว (ล่าง) : iPhone 4  
         สำหรับ iPhone 4S รูปร่างหน้าตาอย่างที่เห็น ๆ กันอยู่ว่าหน้าตาโคลนนิ่งมาจาก iPhone 4 ภายนอกมีจุดต่างให้สังเกตแค่เพียงเล็กน้อยตรงด้านซ้ายของเครื่องที่ต่ำแหน่งปุ่มปุ่มเปิด/ปิดเสียงจะเยื้องลงมาด้านล่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ iPhone 4 และด้านบนของปุ่มเปิด/ปิดเสียงจะมีเส้นสีดำที่เป็นฉนวนแบ่งกรอบรับสัญญาณ นอกนั้นไม่ว่าจะดูมุมไหนก็แยกไม่ออกว่าเป็น iPhone 4S หรือ iPhone 4 ตัวเครื่องมีใหญ่เลือกสองสีคือสีขาวและสีดำ
        พวกอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มาด้วยในกล่องยังคงเดิมคือหูฟังที่มีรีโมทและไมค์, สาย USB สำหรับเสียบชาร์จไฟ และอแดปเตอร์ ซึ่งเจ้าอแดปเตอร์มีเปลี่ยนนิดหน่อย โดยอแดปเตอร์ที่มาในกล่อง iPhone 4S จากเดิมที่จะสกรีนว่า iPod USB Power Adapter เปลี่ยนเป็น 5W USB Power Adapter เพื่อให้เป็นไปทางเดียวกันกับอแดปเตอร์ของ iPad (10W USB Power Adapter) แม้จะเปลี่ยนชื่อใหม่แต่สเป็คในการจ่ายไฟก็ยังเหมือนเดิมไมงได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง
สเป็คเครื่อง
         สำหรับสเป็คฮาร์ดแวร์ของ iPhone 4S จะว่าเปลี่ยนเยอะก็ไม่เชิงจะน้อยก็ไม่ใช่ ประมาณว่าเปลี่ยนไปพอเห็นรู้สึกแตกต่าง โดย iPhone 4S มีจุดที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือใช้ซีพียู A5, มีรุ่นความจุ 64GB เป็นครั้งแรก, รองรับความเร็ว 3G ที่ 14.4Mbps, กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 8 ล้านพิกเซล, ถ่ายวิดีโอได้ที่ 1080p, มีระบบกันสั่นขณะถ่ายวิดีโอ ส่วนด้านซอฟท์แวร์ที่ถือว่าเป็นฟีเจอร์ไฮไลต์หนีไม่พ้น Siri ซึ่งทั้งหมดนี้คือจุดเด่นที่เพิ่มขึ้นใน iPhone 4S
การใช้งาน
        สำหรับคนที่ใช้ 3GS หรือก่อนหน้า ถ้าเปลี่ยนมาใช้ iPhone 4S จะรู้สึกได้ว่าเร็วกว่าเยอะมากๆ เพราะพออัพ iOS 5 อะไร ๆ ใน iPhone 3GS ก็ดูช้า ๆ ไปหมด แต่ถ้าเป็นคนที่ใช้ iPhone 4 แล้วเปลี่ยนเป็น iPhone 4S จะมีจุดที่รู้สึกว่าเครื่องใหม่ทำงานได้เร็วขึ้นอยู่ไม่เยอะนักในการใช้งาน ซึ่งจุดที่พอสังเกตได้ว่า iPhone 4S ทำได้ดีและเร็วกว่าอย่างเช่นในแอพฯ iMovie (ต้องซื้อเพิ่ม ราคา $4.99) ที่ตอนใช้งานเวลาเลือกใช้คำสั่งต่าง ๆ จะตอบสนองทันใจมากขึ้นกว่าการใช้บน iPhone 4 ซึ่งเป็นจุดที่ผมเห็นชัดที่สุดในการใช้งาน เรื่องการกดเปิดแอพกล้องถ่ายรูปก็เป็นอีกจุดที่ iPhone 4S ทำได้เร็วกว่าเดิมตามที่ควรเพราะสเป็คใหม่กว่า การเรนเดอร์หน้าเว็บต่าง ๆ บน Safari ทำได้รวดเร็วมากขึ้น โดยผมทดสอบเปิดหน้าเว็บ pantip.com/cafe/mbk ที่หน้าเว็บยาวมาก ผลจากการทดสอบเทียบระหว่าง iPhone 4S, iPhone 4 และ iPhone 3GS สรุปได้ว่าการเรนเดอร์หน้าเว็บ iPhone 4S ทำได้ดีกว่า iPhone 4 (ไม่ต้องพูดถึง iPhone 3GS) ส่วนการเปิดใช้แอพฯทั่วไปอย่าง Facebook, Instagram, Echofon, Tweetbot, Path และอื่น ๆ ที่ไม่ได้ต้องการๆประมวลผลกราฟิคมากอะไรให้ผลไม่ต่างกันในการใช้งาน
3G เร็วขึ้น ?
        ด้านการรองรับ 3G ของ iPhone 4S จะรองรับความเร็ว 3G ที่ 14.4/5.6 Mbps (ดาวน์โหลด/อัพโหลด) แม้ตัวเครื่องจะรองรับความเร็วเพิ่มขึ้น แต่ในการใช้งานจริงก็ขึ้นอยู่กับ 3G ในช่วงเวลาที่เราใช้งานของแต่ละค่ายมือถือด้วยว่าตรงจุดที่เราใช้งานมีผู้ใช้หนาแน่นแค่ไหน ซึ่งก็จะมีผลกับความเร็ว 3G ที่เราได้ใช้งานด้วย เป็นต้น โดยความเร็ว 3G เท่าที่พบทดสอบด้วยแอพฯ SpeedTest (เลือกเซิฟเวอร์เป็นกรุงเทพฯ) ความเร็วที่ทำได้ดีที่สุดในส่วนของดาวน์โหลดเท่าที่ผมทดสอบได้คือ 9.82 Mbps ไม่ขี้เหร่นักเมื่อคิดว่าเครื่องรับได้ 14.4 Mbps แต่นั่นก็เป็นเพียงครั้งเดียวที่ผมได้ นอกนั้นความเร็ว 3G ที่ทดสอบได้อยู่ในช่วง 2-4 Mbps ซึ่งความเร็วที่ได้ประมาณนี้บน iPhone 4 ก็สามารถทำได้เช่นกัน
สำหรับใน Settings ของ iPhone 4S แอปเปิ้ลได้ตัดปุ่ม Enable 3G ออกไปเหลือแต่ปุ่ม Cellular Data ที่เป็นการรวมดาต้าของ EDGE และ 3G ไว้ด้วยกันในปุ่มเดียวทำให้บางครั้งการที่เราจะปิดแค่ 3G เหมือนบน iPhone รุ่นก่อนหน้าเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เพราะถ้าปิด Cellular Data จะเท่ากับปิดการงานในส่วนของดาต้าทั้งหมด
กล้องถ่ายรูป

เรื่องกล้องถ่ายรูปใน iPhone 4S ถือเป็นจุดเด่นที่หลายคนตั้งหวังว่าจะเทพจริงอย่างที่แอปเปิ้ลโม้บนเวทีเมื่อตอนเปิดตัว โดยขนาดเซ็นเซอร์เพิ่มจาก 5 ล้านพิกเซลใน iPhone 4 มาเป็น 8 ล้านพิกเซลใน iPhone 4S จุดนี้หลายคนอาจจะคิดว่าแจ๋วขึ้นมาก แต่ลองคิดว่าขนาดของเซ็นเซอร์จริง ๆ ตัวเล็กมาก ๆ การเพิ่มแค่ความละเอียดไม่ได้ทำให้ภาพของ iPhone 4S จะดีขึ้นมากสักเท่าไหร่ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้คนที่ได้ลองแล้วชอบคือเรื่องเลนส์ที่แอปเปิ้ลมีการปรับปรุงให้ดี่ขึ้นจนภาพที่ได้เห็นได้ชัดว่าดีขึ้นจาก iPhone 4 (เมื่อปีที่แล้วก็ว่าดีขึ้นเยอะแล้วนะ)
ในส่วนของเลนส์แอปเปิ้ลเพิ่มชิ้นเลนส์เข้ามาใน iPhone 4S อีก 1 ชิ้น (รวมเป็น 5 ชิ้น) ทำให้รูปภาพที่ได้จาก iPhone 4S เก็บรายละเอียดได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ iPhone 4 เช่นในส่วนที่เป็นเงาจากแสงอาทิตย์ส่องเข้ามา ส่วนการถ่ายภาพในตอนกลางคืนจะเห็นได้ชัดเจนว่าภาพที่ถ่ายด้วย iPhone 4S จะไม่มีแสงแฟลร์ (Flare) หรือแสงฟุ้ง เมื่อถ่ายไปที่ดวงไฟหรือถ่ายย้อนแสง ซึ่งตรงนี้เป็นความดีความชอบของเลนส์ที่ดีขึ้น
ซึ่งทั้งหมดทำให้ภาพที่ได้จาก iPhone 4S มีความใสขึ้นและสีสมจริงมากขึ้นเมื่อเทียบกับ iPhone 4 ที่จะให้สีจัดเกิดจริงเมื่อนำภาพที่ได้จากทั้งคู่มาเทียบกัน ส่ิงที่ดีขึ้นอีกอย่างคือ White Balance ใน iPhone 4S วัดแสงได้แม่นและถูกต้องมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายจาก iPhone 4S และ iPhone 4
ถ่ายวิดีโอ
         iPhone 4S คือเลนส์ทำให้วิดีโอที่ได้ภาพจะสว่างกว่าบน iPhone 4 และสามารถเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า สิ่งหนึ่งที่ผมสนใจเกี่ยวกับการถ่ายวิดีโอบน iPhone 4S คือระบบลดการสั่นสะเทือนขณะถ่ายวิดีโอ (Video Stabilization) ที่แอปเปิ้ลใส่เข้ามาเป็นครั้งแรก เท่าที่ได้่ลองพบว่าระบบกันสั่นสามารถช่วยได้ในระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับ iPhone 4 แต่จะไม่เห็นผลชัดเท่าไหร่เมื่อเราเดินถ่ายวิดีโอ (ตามในวิดีโอข้างบน) โดยเมื่อเทียบกับระบบลดการสั่นสะเทือนในกล้อง Panasonic GF1 ก็ต้องบอกว่ากันสั่นใน iPhone 4S ยังห่างชั้นอยู่มากพอควร
        สำหรับวิดีโอที่ถ่ายบน iPhone 4S จะเป็น 1080p (1920×1080 พิกเซล) ซึ่งความละเอียดที่เพิ่มขึ้นมาถึงเท่าตัวเมื่อเทียบกับ iPhone 4 ที่ถ่ายได้แบบ 720p (1280×720 พิกเซล) ทำให้ขนาดไฟล์ 1 นาทีที่ถ่ายได้จาก iPhone 4S มีขนาดใหญ่ถึง 200 MB ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่ต้องเลือกซื้อรุ่นที่มีความจุเยอะขึ้นจากเดิมสำหรับคนที่ชอบถ่ายวิดีโอใน iPhone แล้วไม่ค่อยได้โอนลงคอมพิวเตอร์ (ประมาณว่าเก็บแช่ไว้แบบนั้นจนลืมกันไปข้างหนึ่ง) ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วถ่ายวิดีโอ 10 นาทีจะต้องใช้พื้นที่มากถึง 2GB เลยทีเดียว ปัญหาของขนาดไฟล์คงไม่ได้เป็นภาระเฉพาะบน iPhone 4S เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพื้นที่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งตรงนี้ก็คงต้องแนะนำให้หาฮาร์ดดิกส์แบบภายนอกมาเก็บไฟล์เป็นทางออกที่ดีที่สุด

แบตเตอรี่

        สำหรับเรื่องแบตเตอรี่ใน iPhone 4S เป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงกันอย่างมากตั้งแต่ออกมาว่าแบตเตอรี่หมดเร็วมาก ซึ่งเท่าที่ได้ใช้และทำการทดสอบในจุดนี้กับ iPhone 4S (iOS 5.0.1) พบว่าแบตเตอรี่หมดไวมากจริง ๆ โดยอาการแบตเตอรี่หมดไว้ใน iPhone 4S ซึ่งผมทดสอบหลาย ๆ แบบกับ iPhone 4S และ iPhone 4 ได้ผลดังนี้
เปิดสแตนบายทั้ง 2 เครื่องโดยเปิดใช้โทรศัพท์ตามปกติ เปิด 3G ปิด Wi-Fi ทิ้งไว้ข้ามคืนเป็นเวลา 9.20 ชั่วโมง
  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4S จาก 100% เหลือ 68%
  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4 จาก 100% เหลือ 88%
         จากตัวเลขข้างต้นค่อนข้างน่าตกใจมากกับแบตเตอรี่ที่ลดลงของ iPhone 4S เพราะอายุเครื่องนับถึงวันที่ขึ้นรีวิวเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น แต่แบตเตอรี่กลับลดลงไปมากกว่า iPhone 4 ที่เครื่องอายุ 8 เดือนแล้ว ซึ่งอาการแบตเตอรี่หมดไวปานฟ้าแล่บตอนนี้เจอกันทั่วโลก (iOS 5.0.1) ปัญหาน่าจะมาจากภาครับสัญญาณโทรศัพท์ในส่วนของ 3G ที่ซดแบตเตอรี่มากจริง ๆ
อัพเดท (26 ธ.ค.)
จากที่คุณ eka_x สงสัยและคุณ ezy แนะนำว่าน่าจะทดสอบกับค่ายมือถือเดียวกันทั้งสองเครื่อง ตรงนี้ผมเลยนำซิมของ truemove H มาใส่ใน iPhone 4 เพื่อดูผลว่าเหมือนกับที่ทดสอบกับซิม AIS หรือไม่ ได้ผลดังนี้ครับ

  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4 จาก 100% เหลือ 89%
จากตัวเลขข้างต้นการทดสอบ iPhone 4 กับซิม truemove H ได้ผลเหมือน ๆ กับที่ใส่ซิม AIS คือระดับแบตเตอรี่ลดลงมาใกล้เคียงกัน ตรงนี้ทำให้เห็นชัดเจนว่าอาการแบตเตอรี่ลดฮวบฮาบเกิดขึ้นกับ iPhone 4S เท่านั้น
         ถัดมาลองสแตนบายเครื่องเปล่า ๆ โดยถอดซิมออกและปิด Wi-Fi คืออยากรู้ว่าอาการแบตเตอรี่หมดไวจะเป็นยังไง
  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4S จาก 100% เหลือ 100%
  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4 จาก 100% เหลือ 91%
         จากผลทดสอบข้างต้นทั้ง 2 เครื่องไม่ได้มีอะไรผิดปกติ เพราะเมื่อถอดซิมออกและปิด Wi-Fi ให้เหลือแค่เครื่องเปล่า ๆ ทำงานอย่างเดียว ตัวเครื่อง iPhone 4S ก็ไม่ได้มีอาการแบตเตอรี่ลดลงฮวบฮาบแต่อย่างใด