วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

iPhone 4s



iPhone 4S
         iPhone 4S เป็น iPhone รุ่นที่ 5 นับตั้งแต่แอปเปิ้ลออกรุ่นแรกมาเมื่อปี 2007 ครั้งนี้แอปเปิ้ลยังไม่มีอะไรก้าวกระโดดในรูปเรื่องร่างหน้าตาภายนอก ส่วนข้างในในส่วนของซีพียูไม่ต้องเดาก็พอทราบกันอยู่แล้วว่าใช้ซีพียู A5 เหมือนที่อยู่ใน iPad 2 ส่วนอื่น ๆ ที่เป็นส่วนที่ดีขึ้นลองไล่อ่านกันดูนะครับว่าดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน

รูปร่างเดิม



เครื่องสีดำ (บน) : iPhone 4S / เครื่องสีขาว (ล่าง) : iPhone 4  
         สำหรับ iPhone 4S รูปร่างหน้าตาอย่างที่เห็น ๆ กันอยู่ว่าหน้าตาโคลนนิ่งมาจาก iPhone 4 ภายนอกมีจุดต่างให้สังเกตแค่เพียงเล็กน้อยตรงด้านซ้ายของเครื่องที่ต่ำแหน่งปุ่มปุ่มเปิด/ปิดเสียงจะเยื้องลงมาด้านล่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ iPhone 4 และด้านบนของปุ่มเปิด/ปิดเสียงจะมีเส้นสีดำที่เป็นฉนวนแบ่งกรอบรับสัญญาณ นอกนั้นไม่ว่าจะดูมุมไหนก็แยกไม่ออกว่าเป็น iPhone 4S หรือ iPhone 4 ตัวเครื่องมีใหญ่เลือกสองสีคือสีขาวและสีดำ
        พวกอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มาด้วยในกล่องยังคงเดิมคือหูฟังที่มีรีโมทและไมค์, สาย USB สำหรับเสียบชาร์จไฟ และอแดปเตอร์ ซึ่งเจ้าอแดปเตอร์มีเปลี่ยนนิดหน่อย โดยอแดปเตอร์ที่มาในกล่อง iPhone 4S จากเดิมที่จะสกรีนว่า iPod USB Power Adapter เปลี่ยนเป็น 5W USB Power Adapter เพื่อให้เป็นไปทางเดียวกันกับอแดปเตอร์ของ iPad (10W USB Power Adapter) แม้จะเปลี่ยนชื่อใหม่แต่สเป็คในการจ่ายไฟก็ยังเหมือนเดิมไมงได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง
สเป็คเครื่อง
         สำหรับสเป็คฮาร์ดแวร์ของ iPhone 4S จะว่าเปลี่ยนเยอะก็ไม่เชิงจะน้อยก็ไม่ใช่ ประมาณว่าเปลี่ยนไปพอเห็นรู้สึกแตกต่าง โดย iPhone 4S มีจุดที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือใช้ซีพียู A5, มีรุ่นความจุ 64GB เป็นครั้งแรก, รองรับความเร็ว 3G ที่ 14.4Mbps, กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 8 ล้านพิกเซล, ถ่ายวิดีโอได้ที่ 1080p, มีระบบกันสั่นขณะถ่ายวิดีโอ ส่วนด้านซอฟท์แวร์ที่ถือว่าเป็นฟีเจอร์ไฮไลต์หนีไม่พ้น Siri ซึ่งทั้งหมดนี้คือจุดเด่นที่เพิ่มขึ้นใน iPhone 4S
การใช้งาน
        สำหรับคนที่ใช้ 3GS หรือก่อนหน้า ถ้าเปลี่ยนมาใช้ iPhone 4S จะรู้สึกได้ว่าเร็วกว่าเยอะมากๆ เพราะพออัพ iOS 5 อะไร ๆ ใน iPhone 3GS ก็ดูช้า ๆ ไปหมด แต่ถ้าเป็นคนที่ใช้ iPhone 4 แล้วเปลี่ยนเป็น iPhone 4S จะมีจุดที่รู้สึกว่าเครื่องใหม่ทำงานได้เร็วขึ้นอยู่ไม่เยอะนักในการใช้งาน ซึ่งจุดที่พอสังเกตได้ว่า iPhone 4S ทำได้ดีและเร็วกว่าอย่างเช่นในแอพฯ iMovie (ต้องซื้อเพิ่ม ราคา $4.99) ที่ตอนใช้งานเวลาเลือกใช้คำสั่งต่าง ๆ จะตอบสนองทันใจมากขึ้นกว่าการใช้บน iPhone 4 ซึ่งเป็นจุดที่ผมเห็นชัดที่สุดในการใช้งาน เรื่องการกดเปิดแอพกล้องถ่ายรูปก็เป็นอีกจุดที่ iPhone 4S ทำได้เร็วกว่าเดิมตามที่ควรเพราะสเป็คใหม่กว่า การเรนเดอร์หน้าเว็บต่าง ๆ บน Safari ทำได้รวดเร็วมากขึ้น โดยผมทดสอบเปิดหน้าเว็บ pantip.com/cafe/mbk ที่หน้าเว็บยาวมาก ผลจากการทดสอบเทียบระหว่าง iPhone 4S, iPhone 4 และ iPhone 3GS สรุปได้ว่าการเรนเดอร์หน้าเว็บ iPhone 4S ทำได้ดีกว่า iPhone 4 (ไม่ต้องพูดถึง iPhone 3GS) ส่วนการเปิดใช้แอพฯทั่วไปอย่าง Facebook, Instagram, Echofon, Tweetbot, Path และอื่น ๆ ที่ไม่ได้ต้องการๆประมวลผลกราฟิคมากอะไรให้ผลไม่ต่างกันในการใช้งาน
3G เร็วขึ้น ?
        ด้านการรองรับ 3G ของ iPhone 4S จะรองรับความเร็ว 3G ที่ 14.4/5.6 Mbps (ดาวน์โหลด/อัพโหลด) แม้ตัวเครื่องจะรองรับความเร็วเพิ่มขึ้น แต่ในการใช้งานจริงก็ขึ้นอยู่กับ 3G ในช่วงเวลาที่เราใช้งานของแต่ละค่ายมือถือด้วยว่าตรงจุดที่เราใช้งานมีผู้ใช้หนาแน่นแค่ไหน ซึ่งก็จะมีผลกับความเร็ว 3G ที่เราได้ใช้งานด้วย เป็นต้น โดยความเร็ว 3G เท่าที่พบทดสอบด้วยแอพฯ SpeedTest (เลือกเซิฟเวอร์เป็นกรุงเทพฯ) ความเร็วที่ทำได้ดีที่สุดในส่วนของดาวน์โหลดเท่าที่ผมทดสอบได้คือ 9.82 Mbps ไม่ขี้เหร่นักเมื่อคิดว่าเครื่องรับได้ 14.4 Mbps แต่นั่นก็เป็นเพียงครั้งเดียวที่ผมได้ นอกนั้นความเร็ว 3G ที่ทดสอบได้อยู่ในช่วง 2-4 Mbps ซึ่งความเร็วที่ได้ประมาณนี้บน iPhone 4 ก็สามารถทำได้เช่นกัน
สำหรับใน Settings ของ iPhone 4S แอปเปิ้ลได้ตัดปุ่ม Enable 3G ออกไปเหลือแต่ปุ่ม Cellular Data ที่เป็นการรวมดาต้าของ EDGE และ 3G ไว้ด้วยกันในปุ่มเดียวทำให้บางครั้งการที่เราจะปิดแค่ 3G เหมือนบน iPhone รุ่นก่อนหน้าเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เพราะถ้าปิด Cellular Data จะเท่ากับปิดการงานในส่วนของดาต้าทั้งหมด
กล้องถ่ายรูป

เรื่องกล้องถ่ายรูปใน iPhone 4S ถือเป็นจุดเด่นที่หลายคนตั้งหวังว่าจะเทพจริงอย่างที่แอปเปิ้ลโม้บนเวทีเมื่อตอนเปิดตัว โดยขนาดเซ็นเซอร์เพิ่มจาก 5 ล้านพิกเซลใน iPhone 4 มาเป็น 8 ล้านพิกเซลใน iPhone 4S จุดนี้หลายคนอาจจะคิดว่าแจ๋วขึ้นมาก แต่ลองคิดว่าขนาดของเซ็นเซอร์จริง ๆ ตัวเล็กมาก ๆ การเพิ่มแค่ความละเอียดไม่ได้ทำให้ภาพของ iPhone 4S จะดีขึ้นมากสักเท่าไหร่ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้คนที่ได้ลองแล้วชอบคือเรื่องเลนส์ที่แอปเปิ้ลมีการปรับปรุงให้ดี่ขึ้นจนภาพที่ได้เห็นได้ชัดว่าดีขึ้นจาก iPhone 4 (เมื่อปีที่แล้วก็ว่าดีขึ้นเยอะแล้วนะ)
ในส่วนของเลนส์แอปเปิ้ลเพิ่มชิ้นเลนส์เข้ามาใน iPhone 4S อีก 1 ชิ้น (รวมเป็น 5 ชิ้น) ทำให้รูปภาพที่ได้จาก iPhone 4S เก็บรายละเอียดได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ iPhone 4 เช่นในส่วนที่เป็นเงาจากแสงอาทิตย์ส่องเข้ามา ส่วนการถ่ายภาพในตอนกลางคืนจะเห็นได้ชัดเจนว่าภาพที่ถ่ายด้วย iPhone 4S จะไม่มีแสงแฟลร์ (Flare) หรือแสงฟุ้ง เมื่อถ่ายไปที่ดวงไฟหรือถ่ายย้อนแสง ซึ่งตรงนี้เป็นความดีความชอบของเลนส์ที่ดีขึ้น
ซึ่งทั้งหมดทำให้ภาพที่ได้จาก iPhone 4S มีความใสขึ้นและสีสมจริงมากขึ้นเมื่อเทียบกับ iPhone 4 ที่จะให้สีจัดเกิดจริงเมื่อนำภาพที่ได้จากทั้งคู่มาเทียบกัน ส่ิงที่ดีขึ้นอีกอย่างคือ White Balance ใน iPhone 4S วัดแสงได้แม่นและถูกต้องมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายจาก iPhone 4S และ iPhone 4
ถ่ายวิดีโอ
         iPhone 4S คือเลนส์ทำให้วิดีโอที่ได้ภาพจะสว่างกว่าบน iPhone 4 และสามารถเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า สิ่งหนึ่งที่ผมสนใจเกี่ยวกับการถ่ายวิดีโอบน iPhone 4S คือระบบลดการสั่นสะเทือนขณะถ่ายวิดีโอ (Video Stabilization) ที่แอปเปิ้ลใส่เข้ามาเป็นครั้งแรก เท่าที่ได้่ลองพบว่าระบบกันสั่นสามารถช่วยได้ในระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับ iPhone 4 แต่จะไม่เห็นผลชัดเท่าไหร่เมื่อเราเดินถ่ายวิดีโอ (ตามในวิดีโอข้างบน) โดยเมื่อเทียบกับระบบลดการสั่นสะเทือนในกล้อง Panasonic GF1 ก็ต้องบอกว่ากันสั่นใน iPhone 4S ยังห่างชั้นอยู่มากพอควร
        สำหรับวิดีโอที่ถ่ายบน iPhone 4S จะเป็น 1080p (1920×1080 พิกเซล) ซึ่งความละเอียดที่เพิ่มขึ้นมาถึงเท่าตัวเมื่อเทียบกับ iPhone 4 ที่ถ่ายได้แบบ 720p (1280×720 พิกเซล) ทำให้ขนาดไฟล์ 1 นาทีที่ถ่ายได้จาก iPhone 4S มีขนาดใหญ่ถึง 200 MB ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่ต้องเลือกซื้อรุ่นที่มีความจุเยอะขึ้นจากเดิมสำหรับคนที่ชอบถ่ายวิดีโอใน iPhone แล้วไม่ค่อยได้โอนลงคอมพิวเตอร์ (ประมาณว่าเก็บแช่ไว้แบบนั้นจนลืมกันไปข้างหนึ่ง) ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วถ่ายวิดีโอ 10 นาทีจะต้องใช้พื้นที่มากถึง 2GB เลยทีเดียว ปัญหาของขนาดไฟล์คงไม่ได้เป็นภาระเฉพาะบน iPhone 4S เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพื้นที่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งตรงนี้ก็คงต้องแนะนำให้หาฮาร์ดดิกส์แบบภายนอกมาเก็บไฟล์เป็นทางออกที่ดีที่สุด

แบตเตอรี่

        สำหรับเรื่องแบตเตอรี่ใน iPhone 4S เป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงกันอย่างมากตั้งแต่ออกมาว่าแบตเตอรี่หมดเร็วมาก ซึ่งเท่าที่ได้ใช้และทำการทดสอบในจุดนี้กับ iPhone 4S (iOS 5.0.1) พบว่าแบตเตอรี่หมดไวมากจริง ๆ โดยอาการแบตเตอรี่หมดไว้ใน iPhone 4S ซึ่งผมทดสอบหลาย ๆ แบบกับ iPhone 4S และ iPhone 4 ได้ผลดังนี้
เปิดสแตนบายทั้ง 2 เครื่องโดยเปิดใช้โทรศัพท์ตามปกติ เปิด 3G ปิด Wi-Fi ทิ้งไว้ข้ามคืนเป็นเวลา 9.20 ชั่วโมง
  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4S จาก 100% เหลือ 68%
  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4 จาก 100% เหลือ 88%
         จากตัวเลขข้างต้นค่อนข้างน่าตกใจมากกับแบตเตอรี่ที่ลดลงของ iPhone 4S เพราะอายุเครื่องนับถึงวันที่ขึ้นรีวิวเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น แต่แบตเตอรี่กลับลดลงไปมากกว่า iPhone 4 ที่เครื่องอายุ 8 เดือนแล้ว ซึ่งอาการแบตเตอรี่หมดไวปานฟ้าแล่บตอนนี้เจอกันทั่วโลก (iOS 5.0.1) ปัญหาน่าจะมาจากภาครับสัญญาณโทรศัพท์ในส่วนของ 3G ที่ซดแบตเตอรี่มากจริง ๆ
อัพเดท (26 ธ.ค.)
จากที่คุณ eka_x สงสัยและคุณ ezy แนะนำว่าน่าจะทดสอบกับค่ายมือถือเดียวกันทั้งสองเครื่อง ตรงนี้ผมเลยนำซิมของ truemove H มาใส่ใน iPhone 4 เพื่อดูผลว่าเหมือนกับที่ทดสอบกับซิม AIS หรือไม่ ได้ผลดังนี้ครับ

  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4 จาก 100% เหลือ 89%
จากตัวเลขข้างต้นการทดสอบ iPhone 4 กับซิม truemove H ได้ผลเหมือน ๆ กับที่ใส่ซิม AIS คือระดับแบตเตอรี่ลดลงมาใกล้เคียงกัน ตรงนี้ทำให้เห็นชัดเจนว่าอาการแบตเตอรี่ลดฮวบฮาบเกิดขึ้นกับ iPhone 4S เท่านั้น
         ถัดมาลองสแตนบายเครื่องเปล่า ๆ โดยถอดซิมออกและปิด Wi-Fi คืออยากรู้ว่าอาการแบตเตอรี่หมดไวจะเป็นยังไง
  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4S จาก 100% เหลือ 100%
  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4 จาก 100% เหลือ 91%
         จากผลทดสอบข้างต้นทั้ง 2 เครื่องไม่ได้มีอะไรผิดปกติ เพราะเมื่อถอดซิมออกและปิด Wi-Fi ให้เหลือแค่เครื่องเปล่า ๆ ทำงานอย่างเดียว ตัวเครื่อง iPhone 4S ก็ไม่ได้มีอาการแบตเตอรี่ลดลงฮวบฮาบแต่อย่างใด

สุดท้ายลองสแตนบายโดยใส่ซิมตามปกติแต่เปิด Airplane และเปิด Wi-Fi ทิ้งไว้ข้ามคืนได้ผลตามนี้
  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4S จาก 100% เหลือ 100%
  • แบตเตอรี่ของ iPhone 4 จาก 100% เหลือ 95%
        ที่นี้ใส่ซิมแต่ไม่เปิดให้ทำงานแล้วเปิด Wi-Fi ไว้เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตดูว่าถ้ามีการใช้อินเตอร์เน็ตจาก Wi-Fi แบตเตอรี่จะลดลงแบบผิดปกติหรือไม่ ซึ่งก็ปรากฏว่าการลดระดับของแบตเตอรี่ของทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรผิดปกติเช่นกันในส่วนของการใช้งานระหว่างวันยิ่งกันไปใหญ่แบตเตอรี่ลดลงอย่างกับโดนเครื่องสูบน้ำสูบออกไปอย่างรวดเร็ว เท่าที่ได้ใช้ผมไม่เคยมั่นใจเลยว่าแบตเตอรี่ของ iPhone 4S จะอยู่รวดเกิน 8 ชั่วโมง โดยอาการแบตเตอรี่ลดระหว่างวันถ้าเป็นปกติออกจากบ้านช่วงเย็น ๆ กลับเข้าบ้านช่วงละครใกล้จบตอนสี่ทุ่มแบตเตอรี่น่าจะยังเหลือ แต่กลายเป็นว่า iPhone 4S แบตเตอรี่เต็ม 100 ตอนห้าโมงเย็นกลับบ้านอีกทีสี่ทุ่มแบตเตอรี่หายไปถึง 60 เปอร์เซ็นต์ โดยการใช้งานตัวเครื่องเปิดรับ Push Notification จากแอพฯต่าง ๆ อยู่ราว 10 แอพ, อีเมล, เปิดใช้ iCloud, ใช้ 3G ตลอด ระหว่างเวลานั้นมีกดเข้ากดออกกับตัว iPhone 4S อยู่บ่อย ๆ เปิดใช้ Safari ฯลฯ ทุกอย่างก็เหมือนกับที่ผมใช้บน iPhone 4 ซึ่งในการใช้งานรูปแบบเดียวกันนี้ระยะเวลาใช้งานประมาณเดียวกันเท่าที่ผมจำได้ iPhone 4 ตอนใหม่กิ๊ก ๆ แบตเตอรี่ยังลดไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ
จากการทดสอบแบตเตอรี่ข้างต้นทั้งหมดทำให้พอจะสรุปได้ว่าอาการแบตเตอรี่ลดฮวบฮาบของ iPhone 4S สามารถเฉพาะเจาะจงไปได้ที่ส่วนของภาครับสัญญาณโทรศัพท์ในส่วนของ 3G แน่นอนว่าผู้ใช้งานอย่างเราก็ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นปัญหาในระดับฮาร์ดแวร์ที่ชิ้นส่วนนั้นกินแบตเตอรี่เยอะมากเกินหรือเป็นที่ระดับซอฟท์แวร์ที่แอปเปิ้ลทำพลาดกันแน่ ยังไม่รู้ว่าถ้ามีอัพเดท iOS 5.1 อาการนี้จะดีขึ้นหรือหายขาดหรือไม่ (ถ้า iOS 5.1 ออกจะมาอัพเดทในรีวิวนี้อีกครั้งว่าอาการแบตเตอรี่ลดฮวบฮาบได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง)
        iPhone 4S ก็เหมือนตอน iPhone 3G มาเป็น iPhone 3GS ที่ตอนนั้นภายนอกก็เหมือนเดิมแต่ข้างในเปลี่ยนใหม่ ครั้งนี้ก็เช่นกันจาก iPhone 4 มาเป็น iPhone 4S ภายนอกแทบดูไม่ออกว่าเครื่องรุ่นไหน แต่ภายในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็เป็นเรื่องที่ควรเปลี่ยนให้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมอยู่แล้ว ที่น่าประทับแบบเห็นชัดที่สุดคือเรื่องเกี่ยวกับกล้องถ่ายรูปและวิดีโอ ส่วนเรื่องสเป็คแรงขึ้นจากเดิมโดยรวมไม่เห็นชัดเจนในการใช้งานทั่วไป แต่จะมีผลกับการเล่นเกมที่มีกราฟฟิกเยอะ ๆ หรือใช้ตัดต่อ iMovie อย่างที่เอ่ยถึงไปแล้วตั้งแต่แรก ๆ เรื่อง Siri เอาเข้าจริงถ้าอยู่นอกบ้านขึ้นรถลงเรือต่อรถไฟฟ้าก็คงไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ แต่คนที่ขับรถส่วนตัวอาจจะได้ใข้มากกว่าเวลารถติด เรื่องแบตเตอรี่ถ้ามีปัญหาจริงก็หวังว่าแอปเปิ้ลจะออกอัพเดทมาแก้ปัญหานี้ให้ไว้ที่สุด แต่ถ้าดูจากสิ่งที่ iPhone 4S เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่แบตเตอรี่จะหมดเร็วเพราะไหนจะ 3G ในกับแอพทั่วไป ไหนจะ Siri ที่ยิ่งใช้บ่อยก็เท่ากับว่าใช้ 3G เยอะซึ่งแบตเตอรี่ก็ถูกใช้เยอะไปด้วยและไหนจะ iCloud ที่ต้องมีการซิงค์ข้อมูลอัตโนมัติบ้างในบางครั้งเช่นมีการเปลี่ยนแปลงในสมุดโทรศัพท์หรือใน Note ยิ่งใช้เยอะยิ่งใช้คล่องมากเท่าไหร่ยิ่งรู้ว่าเครื่องทำอะไรให้เราได้ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเรื่องที่ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วทั้งนั้น
ส่วนจะซื้อดีไม่ซื้อดี ถ้าตัดสินใจจะใช้ iPhone แล้วก็คงไม่มีตัวเลือกเพราะก็มีรุ่นใหม่อยู่แค่รุ่นเดียวเท่านั้นอยู่แค่ว่าจะเลือกความจุเท่าไหร่ ถ้าเป็นคนถ่ายรูปเยอะไม่ยอมโอนลงคอม (หลักพันรูปขึ้นไป) ถ่ายวิดีโอบ่อย (ดองไว้ในไอโฟนอย่างเดียว) แอพฯในเครื่องมีเป็นร้อย เพลงอีก 4-5GB แนะนำว่าเริ่มที่ 32GB ส่วนถ้าคุณผู้อ่านคนไหนที่ซิงค์กับเครื่องบ่อยหน่อย ถ่ายรูปเยอะแต่ก็โอนลงคอมด้วย 16GB สามารถรองรับการใช้งานได้สบาย ๆ ส่วน 64GB แบบว่าต้องรักกันจริงเพราะราคาแพงใช่ย่อย
จุดสังเกต
  • แบตเตอรี่หมดค่อนข้างเร็ว (iOS 5.0.1)
  • การทำงานของเครื่องตอบสนองดี
  • กล้องถ่ายรูปดีขึ้นมาก
  • Siri เหมาะกับคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
  • หลังอัพเดท iOS 5.1 แบตเตอรี่มีชั่วโมงการสแตนบายดีขึ้นกว่าเดิม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น